วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ข้อเท็จจริงในการโยกย้ายในกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับผลประโยชน์ทางการเมือง

ข้อเท็จจริงในโยกย้ายข้าราชการในกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับผลประโยชน์ทางการเมือง

ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งนักการเมืองเป็นผู้ก่อกำลังจะกลายเป็นประเด็นที่จะถูกนำมาขยายผลให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นผลพวงของการเมืองภายในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะในเรื่องของการเอาชนะฝ่ายตรงข้ามทุกแนวทางแม้ว่ากระทั้งในกระทรวงการต่างประเทศได้รับผลพวงของการต่อสู้ในครั้งนี้

ดังจะเห็นจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่มาจากพรรคพลังประชาชนได้ใช้อำนาจที่ขาดความชอบธรรมสั่งย้ายอธิบดีรวมทั้งปลัดกระทรวงเบื้องหลังเกิดขึ้นจากความไม่พอใจนายวีรชัย พลาศรัย อธิบดีกรมกรมสนธิสัญญาและกฎหมายไม่ยอมส่งเอกสารสัญญา CTX ให้กับท่านผู้นี้ เพราะเอกสารนี้มีความสำคัญต่อการเอาผิด อดีต รมว.คค. แต่ท่านอธิบดีได้ปฏิเสธเพราะต้องทำหนังสืออย่างเป็นทางการ ผลทำให้ท่านอธิบดีถูกย้ายออกจากตำแหน่ง อย่างไรก็ตาม นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูลปลัดกระทรวงการต่างประเทศ มีความเห็นใจผู้ใต้บังคับบัญชาจึงทำหนังสือปิดผนึกในกระทรวงแสดงความเห็นใจ และ ขอบคุณท่านอธิบดีที่มีส่วนสำคัญต่อการแก้ปัญหาเขตแดนระหว่างไทยกับลาวและกัมพูชา ส่งผลข้าราชการจำนวนหนึ่งแต่งชุดดำ เรื่องที่เกิดขึ้นได้สร้างความไม่พอใจต่อท่านรัฐมนตรีจึงเรียกปลัดกระทรวงเข้าพบ แล้วพูดว่าอยากจะไปเป็นทูตที่ประเทศไหน ซึ่งปลัดกระทรวงตอบไปว่าไปไหนก็ได้

ปัญหาดังกล่าวไม่ได้จบแค่นั้นเมื่อท่านรัฐมนตรีได้กดดันให้กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีหน้าที่เจรจาปัญหาเขาพระวิหาร ใช้อำนาจต่อรองกับกัมพูชา โดยนำเอาประเด็นพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลมาใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยน ในลักษณะที่จะสร้างความเสียเปรียบแก่ฝ่ายไทย เนื่องจากพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลหากพิจารณาตามกฏหมายว่าด้วยเรื่องเขตเศรษฐกิจจำเพาะทางทะเล 200 ไมล์ทะเล ฝ่ายไทยสามารถคอบครองพื้นที่ได้ร้อย 70 (มีน้ำมันและกาซจำนวนมาก) แต่ท่านรัฐมนตรีต้องการเปลี่ยนการถือครองมาเป็นฝ่ายละ 50 เพื่อแลกเปลี่ยนกับการแก้ไขปัญหาพิพาทเขาพระวิหาร

แม้ว่าการทำหน้าที่ของท่านรัฐมนตรียังตอบไม่ได้ว่าทำไปเพื่อประโยชน์ของบุคคลใด แต่หากพิจารณาความตั้งใจ ความมุ่งมั่น แล้วคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผลประโยชน์แอบแฝงอยู่มาก ผิดกับการทำหน้าที่ของข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ โดยเฉพาะท่านอธิดีและปลัดกระทรวง ได้ทำหน้าที่อย่างมืออาชีพที่เห็นประโยชน์ของประเทศมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัวจนเป็นที่ยอมรับของข้าราชการในกระทรวงแม้ว่าสังคมภายนอกจะไม่เห็นความตั้งใจจริงแต่ความขัดแย้งที่ปรากฏทำให้เห็นความจริงมากขึ้น

การทำหน้าที่ของข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศไม่ได้โดดเดี่ยวเสียทีเดียวเพราะเป็นการทำหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ(National Interest) ซึ่งเป็นบทบาทเดียวกับทหาร ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีพันธมิตรที่มีกำลังในการต่อสู้อย่างไม่โดดเดียวเสียทีเดียว
การย้ายข้าราชการในครั้งนี้ในกระทรวงการต่างประเทศเกิดคำถามมากมายว่ามีสาเหตุมาจากอะไร แต่สิ่งหนึ่งทำให้เห็นว่าข้าราชการที่ไม่ตอบสนองความต้องการฝ่ายการเมืองกำลังจะเป็นเป้าหมายในการโยกย้ายและฝ่ายการเมืองจะทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้มีอุปสรรคในการขัดผลประโยชน์ของตน

ไม่มีความคิดเห็น: