วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เราได้ไม่ได้อะไรจากการต่อสู้ทางการเมืองในปัจจุบัน

เราได้ไม่ได้อะไรจากการต่อสู้ทางการเมืองในปัจจุบัน
ปัญหาที่ต้องกันช่วยคบคิดของพลเมืองในไทยในขณะนี้ คือ เราได้อะไรจากความขัดแย้งทางการเมืองของชนชั้นนำ(Elite Conflict)ระหว่างฝ่ายพันธมิตรกับฝ่ายรัฐบาลผู้ขาดอำนาจที่มีฐานอำนาจจากการเลือกตั้ง ตลอดระยะเวลาในการต่อสู้ 178วัน(18 พ.ย.51) แต่ละฝ่ายได้มีการใช้ยุทธวิธีต่างมากมายเพื่อชิงความได้เปรียบหรือเอาชนคู่ต่อสู้ แต่หากพิจารณาอีกมุมหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับวิชาการจะเห็นแนวความคิด(Concept)หรือสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของแต่ละฝ่ายที่สำคัญที่สุดก็คือจะเห็นถึงสิ่งที่เรียกว่าอัตตา(Selfish ) พฤติกรรมที่ตรงข้ามกับสิ่งที่กล่าวต่อสาธารณชน(Public Sphere) รวมถึงการบิดเบือนเนื้อหาทางวิชาการเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วทำให้สามารถสรุปได้ว่า ยังไม่เห็นกลุ่มใดทำเพื่อความเป็นประชาธิปไตยที่หลายฝ่ายเห็นว่ามีความเหมาะสมเพราะสามารถประโยชน์ต่อส่วนร่วมได้มากที่สุด โดยในฝ่ายพันธมิตรแม้ว่า ที่ผ่านมาจะพยายามแสดงตนว่าการเคลื่อนไหวในครั้งนี้จะเป็นการสร้างทางการเมืองใหม่โดยใช้พลังประชาชนหรือประชาภิวัฒน์(New Social Movement)แต่หากพิจารณาในองค์รวมของการเคลื่อนไหวจะเห็นความเป็นจริงที่ถูกเปิดเผยมากขึ้น คือ พันธมิตรไม่ได้ใช้แนวทางการต่อสู้แบบใหม่อ้าง เนื่องจากการเคลื่อนไหวของพันธมิตรมีลักษณะช่วงชิงอำนารัฐ ไม่เหมือนกับการเคลื่อนไหวของการเมืองใหม่ที่เน้นการปฏิรูปสังคม(Social ) การเคลื่อนไหวของการเมืองใหม่จะไม่มีทิศทางที่นำไปสู่การทำลายประชาธิปไตย เช่นการเรียกร้องให้ทหารออกมาปฏิวัติหรือเปลี่ยนแปลงการปกครอง รวมทั้งยังได้นำเสนอการเข้าสู่อำนาจทางตรงหรือระบบ70-30 ซึ่งมีความขัดแย้งกับหลักการประชาธิปไตย

ส่วนด้านองค์ประกอบขององค์กรการเคลื่อนไหวเมื่อพิจารณาจากลักษณะในการนำแล้วมีคำถามเกิดขึ้นว่า แกนนำแต่ละคนทำไปเพื่อวัตถุประสงค์อะไร เพราะแต่ละคนมีพื้นฐานความเป็นมาที่แตกต่างกันและหากพิจารณาจากแนวความคิดหรือพฤติกรรมในอดีตแล้วนั้นยังไม่มีใครผลักดันให้ประเทศมีความเป็นประชาธิปไตยตั้งแต่ต้น รวมทั้งยังไม่มีแกนนำใดประกาศต่อหน้าสาธารณชนอย่างชัดเจนว่าจะรับผิดชอบต่อกรณีการใช้อารยะขัดขืน เพราะโดยหลักการของอารยะขัดขืนแล้วผู้ที่จะประกาศใช้ต้องแสดงความรับผิดชอบ ด้วยเหตุนี้มาตรฐานของการต่อสู้จึงไม่สามารถยกระดับให้มีความแตกต่างหรือสามารถเทียบเคียงกับขบวนการต่อสู่ในประเทศตะวันตกได้

นอกจากนี้ พฤติกรรมของแกนนำบางคนยังมีความสับสนและยังขัดแย้งกับสถานะของการต่อสู้ที่ต้องมีสติหรือต้องใช้ปัญญาโดยเฉพาะหลักการในเรื่องความเป็นเหตุเป็นผล(Cause and Effect)กำลังจะถูกทำลายด้วยความเชื่อเนื่องจากมีการใช้ความเหนือธรรมชาติ(Supernatural)ทั้งที่ในความเป็นจริงการสร้างมวลชนนั้นต้องใช้สติปัญญามากกว่าการใช้ไสยศาสตร์ซึ่งจะกลายเป็นตัวหักล้างความน่าเชื่อถือของการต่อสู้ซึ่งเริ่มส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือแล้ว

ที่สำคัญการใช้วิธีการสร้างคู่ตรงข้าม(Binary Opposition)หรือให้เลือกฝ่ายกำลังบันทองความชอบธรรมในการต่อสู้เนื่องจากการต่อสู้เพื่อยกระดับทางการเมืองต้องใช้เครือข่ายทุกภาคส่วนในสังคมขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูปสังคมแต่เมื่อวัตถุประสงค์ในการต่อสู้เป็นเพียงการช่วงชิงอำนาจมากกว่าการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น ส่งผลให้วิธีการต่อสู้จะเน้นเป้าหมายในระยะสั้นคือการล้มเครือข่ายชนชั้นนำใหม่มากกว่าจะสร้างพื้นฐานความเป็นประชาธิปไตยโดยเฉพาะความเสมอภาค ความเท่าเทียมกัน เสรีภาพและภราดรภาพ ซึ่งเป็นหลักสำคัญของความเป็นประชาธิปไตยยังไม่มีการนำเสนอในเวที
สำหรับแนวร่วมหรือมวลชนที่เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นชนชั้นกลางในเมืองและส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงหรือผู้ที่สูงอายุเป็นหลักที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ หรือบางส่วนเป็นนักร้อง นักแสดงหรือศิลปิน กลุ่มศาสนา กลุ่มธุรกิจ โดยแต่ละกลุ่มมีเป้าหมายทางการเมืองทางสังคมที่เฉพาะตน มีการรวมตัวกันอย่างหลวมๆ ดังนั้นจึงไม่สามารถเดินหน้าในการปฏิรูปสังคมให้ดีขึ้นได้

ในส่วนของรัฐบาลแม้ว่า จะมาจากเลือกตั้งซึ่งเป็นแนวทางการเข้าสู้อำนาจในระบบประชาธิปไตย แต่ด้วยเหตุที่ใช้เงินเป็นหลัก ประกอบกับพฤติกรรมของนักการเมืองเมื่อเข้ามามีตำแหน่งทางการเมืองแล้ว ไม่สามารถเป็นหลักในการพัฒนาระบบประชาธิปไตยในประเทศไทยได้มากขึ้น เนื่องจากพวกเขาแม้มีบางส่วนจะจบการศึกษาในประเทศตะวันตกแต่ด้วยเหตุที่วัฒนธรรมของไทยยังเป็นระบบอุปถัมภ์ ขัดแย้งกับหลักการของความเป็นประชาธิปไตยแล้วจึงกลายเป็นอุปสรรคส่วนหนึ่งที่ทำให้นักการเมืองไม่สามารถต่อสู้กับระบบดังกล่าวในทางตรงกันข้ามกับใช้ในการแสวงประโยชน์จนนำมาสู่ปัญหามากมายในปัจจุบัน

การต่อสู้ในทางการเมืองที่ผ่านมาแม้ว่าหลายฝ่ายเห็นว่าน่าจะทำให้เกิดการพัฒนาระบบประชาธิปไตยมากขึ้น อาจเป็นการมองในแง่ดีมากเกินไป เพราะเมื่อพิจารณาถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้นจะพบถึงความเป็นไปไม่ได้ที่การต่อสู้ครั้งนี้จะสามารถสร้างความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ได้ หากพิจารณาพฤติกรรมที่แท้จริงที่แอบแฝงของแต่ละฝ่ายดังที่กล่าวมาแล้ว ความมืดมิดที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองในขณะนี้ จะเกิดความสว่างไสวขึ้นได้นั้น ต้องอาศัยคนไทยทุกคนช่วยกันถือเทียนทางปัญญามากว่าที่จะเดินตามหาแสงสว่างอย่างที่เราทำกันอยู่ในขณะนี้