วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

สงครามกลางเมืองเมื่อ 19 พฤษภาคม 2553 มีสาเหตุจากนักการเมือง

สถานการณ์ทางการเมืองมีสาเหตุจากนักการเมือง

สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศไทยในวันนี้ สาเหตุมาจากนักการเมืองซึ่งทำให้ระบบการเมืองล้มเหลว และถูกบิดเบือนจนทำให้โครงสร้างของประเทศล้มเหลว ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งที่ไม่มีทางออกเพราะกลไกของรัฐไม่สามารถตอบสนองได้แล้ว เหตุการณ์เมื่อ 19 พ.ค.53 ไม่ได้มีสาเหตุมาจากความขัดแย้งที่เห็น แต่สาเหตุที่แท้จริงมาจากผลพวงของประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ที่ไม่มีการแก้ไข ทั้งระบบการศึกษา ค่านิยม คุณธรรม เนื่องจากหลังสถานการณ์สงบลงผู้นำหรือผู้ปกครองปล่อยให้สถานการณ์สงบแต่ไม่ได้แก้ไขต้นเหตุของปัญหา คือ ความยากจน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม ซึ่งถูกใช่เป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมืองมาตลอดแต่ที่ชัดเจน คือ อดีตนายกได้นำไปใช้ในการหาเสียงและสร้างเครือข่ายในการต่อสู้ ด้วยการให้ความหวังเพื่อให้มวลชนโดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคเหนือซึ่งมีความแตกต่างในด้านฐานะทางเศรษฐกิจเป็นตัวขับเคลื่อนเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ด้านการเมือง ซึ่งเริ่มปรากฏชัดว่าเริ่มแบ่งแยกพื้นที่เพื่อสถาปนาพื้นที่ในปลอดอำนาจรัฐจากส่วนกลางแล้ว การเคลื่อนไหวดังกล่าวคาดว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น

ความขัดแย้งของรัฐบาลกับกลุ่มคนเสื้อแดง จึงเป็นเพียงปรากฏการณ์บางส่วนของความขัดแย้ง ด้วยเหตุนี้ ความขัด ซึ่งเกิดความขัดแย้งทั้งในระดับเครือข่ายผู้นำในทุกระดับประชาชน เจ้าหน้าที่ และในระดับพื้นที่ซึ่งกำลังขยายครอบคลุมในทุกจังหวัดที่เป็นฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยและโรงเรียน นปช.ได้ขยายความขัดแย้งมากขึ้นเป็นการก่อความไม่สงบแบบสงครามการเมืองเต็มรูปแบบ เนื่องจากความเคลื่อนไหวทางการเมืองในปัจจุบันนี้ มีแกนนำ มีมวลชน มีกองกำลัง เทียบกับกลุ่มก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เนื่องจากการต่อสู้ในทางการเมืองในครั้งนี้เป็นการขัดแย้งที่มีความซับซ้อน(Deep- Diversity Conflict) ในหลายรูปแบบ แต่สะท้อนความเป็นจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เมื่อไม่สามารถแก้ไขปัญหาด้วยการเมืองได้การใช้อำนาจเถื่อนหรือการใช้วิธีใต้ดิน จะถูกนำมาใช้ เพื่อสร้างอำนาจต่อรองหรือการเอาชนะฝ่ายตรงข้าม ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาการใชวิธีดังกล่าวมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง หรือ การเปลี่ยนผู้นำหรืออาจควบคู่กันไป
การต่อสู้ที่มีความหลากหลายในทางการเมืองในครั้งนี้ ประกอบด้วย ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นปกครอง ความขัดแย้งระหว่างนักการเมืองกับนักการเมือง ความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งฝ่ายความมั่นคง ทหารกับทหาร ตำรวจกับตำรวจ ที่สำคัญมีความพยายามที่ทำให้เป็นการขัดแย้งระหว่างประชาชนกับประชาชน หรือ ความขัดแย้งระหว่างชนบทกับเมือง เมื่อความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมีหลายชั้นหลายแนวทำให้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทวีความรุนแรงมากขึ้นและเท่าทันเกมส์ เนื่องจากในแต่ละหน่วยงานจะมีผู้ฝักฝ่ายในแต่และกลุ่มจะส่งต่อข้อมูลความเคลื่อนไหวของแต่ละฝ่ายให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง

ส่วนในระดับพื้นที่ในการต่อสู่ครั้งนี้มีความชัดเจนว่ามีเครือข่ายนักการเมือง เป็นแกนนำหลักขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แบ่งแยกทั้งด้านความคิดเพื่อสร้างมวลชนใช้เป็นเครืองมือในการขับเคลื่อนต่อสู้เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมืองหรือวัตถุประสงค์ที่มากกว่านั้น ลักษณะของมวลชนประกอบด้วยบุคคลหลายฝ่าย ทั้งหัวคะแนนนักการเมือง ประกอบกับการจัดตั้งมวลชนผ่านโรงเรียน นปช.เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความเข้มแข็งต่อเครือข่ายและโครงสร้างของกลุ่ม นปช.มากขึ้น พร้อมกับได้รับการสนับสนุนจากผู้ที่อยู่เบื้องหลังจากต่างประเทศ

ยุทธวิธีของกลุ่มกองกำลังของคนเสื้อแดงในการสร้างสถานการณ์ในพื้นที่กรุงเทพมหานครเมื่อ 19 พ.ค.2553 ทั้งการวางเพลิงสถานที่ การยิงใส่สถานที่ การขัดขวางการดับเพลิง เป็นความตั้งใจและมีเป้าประสงค์ที่จะทำให้เกิดภาพความรุนแรงที่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ หรือเป็นรัฐที่ล้มเหลว แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัด คือ สงครามการเมืองได้ก่อตัวขึ้นแล้ว
ส่วนฝ่ายรัฐบาลซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจรัฐเป็นคู่ขัดแย้งกับเครือข่ายอดีตผู้นำ ซึ่งรับช่วงต่อมาจากฝ่ายทหารที่ต้องการลดอิทธิพลของอดีตผู้นำ วิธีการต่อสู้ของฝ่ายรัฐบาลจะขับเคลื่อนใน 2 ระดับ คือ ประการแรก คือการสร้างวาทกรรมสร้างความชอบธรรมในการใช้อำนาจเช่นการกระชับวงล้อม ประการที่สอง คือ การสร้างวาทกรรมการการก่อการ้ายต่อแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ทั้งสองประการจะดำเนินการด้วยปฏิบัติการจิตวิทยาในรูปแบบต่าง

สถานการณ์ความขัดแย้งในครั้งนี้ คงไม่มีทางออกที่ทำให้ปัญหาจบลงในทันที หริอ อย่างเบ็ดเสร็จ แม้ว่าฝ่ายแกนนำเสื้อแดงจะประกาศยุติการชุมนุม เนื่องจากยังมีเครือข่ายของฝ่ายเสื้อแดงอีกจำนวนมากคือ ตำรวจ ทหารบางกลุ่ม นักการเมือง กองกำลังใต้ดิน อันธพาล นักเลง เครือข่ายหัวคะแนนของนักการเมือง รวมทั้งผู้สนับสนุนที่ไม่เปิดเผยและที่สำคัญผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่แท้จริงยังไม่มีท่าทีประนีประนอมและมีเตรียมความพร้อมที่จะต่อสู้ในขั้นต่อไปคือการใช้เวทีต่างประเทศกดดันประเทศไทยด้วยการว่าจ้างทนายต่างมาแก้ต่างและเป็นตัวขับเคลื่อนให้ปัญหาในประเทศเป็นที่สนใจในต่างประเทศ โดยจะหยิบยกประเด็นที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลในทางลบเช่นรัฐบาลกระทำสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มนิยมความรุนแรงที่มีการวางเพลิงธนาคารห้างร้านเพื่อทำให้การขับเคลื่อนของภาคธุรกิจหยุดชะงักและการเผาศาลากลางเพื่อต่อต้านการปกครองของรัฐบาลปัจจุบัน รวมทั้งการเผาสถานที่บางส่วนเป็นของทรัพย์สินส่วนมหากษัตรยิ์สะท้อนว่าการต่อสู้ในเชิงสัญญาลักษณ์จะเป็นตัวขับเคลื่อนในการต่อสู้ของกลุ่มคนเสื้อแดงต่อไป ด้วยเหตุนี้การยุติในครั้งนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามครั้งใหญ่ที่ประเทศไทยต้องเผชิญ

แนวโน้มสถานการณ์
สถานการณ์ในห้วงต่อไป ในด้านของเป้าหมาย เนื่องจากผู้ที่ควบคุมอำนารัฐมาจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ จึงเป็นเป้าหมาย เครือข่ายธรกิจที่ที่มีความเกี่ยวข้องกับพล.อ.เปรม วิธีการก่อเหตุ จากการจลาจลก่อกวนเผาสถานที่แล้วจะนำการก่อการร้ายทั้งการลอบวางระเบิดสถานที่บุคคลที่เป็นฝ่ายตรงข้าม การลอบสังการลอบยิงเป้าหมายบุคคล

ในกรณีที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ มีแนวโน้มว่าต่างประเทศจะเข้าแทรกแซง เนื่องจากมีสิ่งบอกเหตุเริ่มเห็นชัด 1.จากการเคลื่อนไหวของอดีตนายกรัฐมนตรี ที่จ้างทนายความที่มีขีดความสามารถในการแก้ต่างและสร้างกระแสในต่างประเทศ 2.การเปลี่ยนแปลงแกนนำในการต่อสู้จาก 3 เกลอมาเป็นการขับเคลื่อนด้วยอดีตฝ่ายซ้ายเก่าคาดว่าการวางแผนในการต่อสู้จะเน้นการสร้างมวลชน การยึดพื้นที่เพื่อใช้เป็นฐานในการต่อสู้ รวมทั้งการใช้แนวทางการปิดล้อม โดยเฉพาะชนบทล้อมเมือง การทำให้อำนาจรัฐอ่อนแอโดยการจลาจลการก่อกวน การวางเพลิงโรงเรียน การลอบวางระเบิด การลอบยิงเป้าหมายบุคคลฝ่ายตรงข้าม 3.การต่อสู้ในเชิงความคิดโดยการส่งต่อไปยังมวลชนจะมีมากขึ้นโดยผ่านสื่อทุกรูปแบบ โดยเฉพาะใต้ดินหรือการส่งต่อข้อมูลที่บิดเบือนแบบปากต่อปาก 4.การทำให้เห็นว่าสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในประเทศส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในระดับภูมิภาคหรือระดับโลก เพื่อให้องค์กรต่างประเทศเข้าแทรกแซง

แนวทางในการแก้ไขปัญหา
การแก้ไขปัญหาของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นที่ได้ผล จึงไม่สามารถทำได้ด้วยการเมือง การใช้กำลัง แต่ต้องรวมกันแก้ไขของทุกภาคส่วนในสังคมเพื่อผลักดันให้เกิดสัญญาประชาคม(Social Contact ) เนื่องจากที่ผ่านมาไม่เกิดมีสัญญาประชาคมที่แท้จริงในไทย เพราะที่ผ่านมาเป็นการหยิบยืนจากชั้นปกครองมากว่าจิตสำนึกที่เกิดขึ้นเองของประชาชนระดับล่าง


------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น: