วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ผลกระทบที่เกิดขึ้นกรณีจับกุมแกนนำพันธมิตร

ผลกระทบที่เกิดขึ้นกรณีจับกุมแกนนำพันธมิตร

ภายหลังการจับกุมแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คือ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เมื่อ 4 ตุลาคม 2551 และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เมื่อ 5 ตุลาคม 2551 มีการตั้งคำถามมากมายว่า การจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไร มีวัตถุประสงค์อะไรแอบแฝงทางการเมืองหรือไม่อย่างไร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้คนในสังคมไม่มีความแน่ใจถึงปรากฏการณ์ข้างต้นว่าอะไรคือข้อเท็จจริง โดยกระแสของความสนใจที่เกิดขึ้นมีการตั้งข้อสังเกตใน 2 ประเด็น กรณีดังกล่าวเป็นการสั่งการจากฝ่ายรัฐบาลหรือไม่ โดยเห็นว่ารัฐบาลไม่จริงใจ แม้ว่าที่ผ่านมาแสดงท่าทีประนีประนอมยอมเจรจากับกลุ่มพันธมิตร รวมทั้งมีบางกระแสเห็นว่าต้องการดิสเครดิต พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ขณะกรณีที่สอง บางฝ่ายโดยเฉพาะสื่อมวลชนมองว่าอาจเป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มบุคคลที่ให้การสนับสนุนกลุ่มดังกล่าวมาตลอดเป็นผู้ต้องการให้เกิดสถานการณ์ดังกล่าวขึ้นเพื่อต้องการทำลายระบบทักษิณให้สิ้นซาก โดยสร้างสถานการณ์ให้มีความรุนแรงมากขึ้นเพื่อกลับมาคุมเกมส์การเมืองอีกครั้ง

สมมุติฐานแรก การสั่งการจากฝ่ายรัฐบาล การเกิดขึ้นของรัฐบาลสมชาย คงจะปฏิเสธบทบาทของอดีตผู้นำพรรคไทยรักไทย ไม่ได้ว่าเป็นตัวขับเคลื่อนให้นายสมชายขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้นการตัดสินใจหรือการเดินเกมส์ทางการเมืองต้องดำเนินตามคำสั่งจากอดีตผู้นำ โดยในกรณีหากเป็นการสั่งการจากต่างประเทศจริงในขณะที่นายสมชายแสดงท่าทีประนีประนอมมาตลอด ผลเสียน่าจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของนายสมชายมากกว่าส่งผลให้จะมีการต่อต้านนายสมชายมากขึ้นจากฝ่ายพันธมิตร รวมทั้งจะทำให้ความได้เปรียบทางการเมืองซึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชนมากขึ้นลดลง ส่วนความพยายามทำลายภาพลักษณ์ของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รอง นรม.ที่เข้ามาดูแลความมั่นคง ซึ่งหลายฝ่ายเห็นว่าการขึ้นมาของบุคคลผู้นี้มาจากสายตรงจากลอนดอน และพร้อมแสดงท่าทีในการเจรจากับกับฝ่ายพันธมิตร ทำให้เกิดภาพความขัดแย้งที่มีความเป็นไปได้ว่าท่าทีอดีตผู้นำอาจจะลดทาทีการเผชิญหน้าลง เพื่อเรียกร้องความเห็นใจ จึงต้องมาดูว่าที่ผ่านมาในอดีต พล.อ.ชวลิต มีความขัดแย้งกับผู้ใดในพรรคพลังประชาชน แล้วฝ่ายทหารมีการตอบรับที่ดีจากชายผู้นี้หรือไม่ รวมทั้งมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดที่กลุ่มการเมืองในพรรคพลังประชาชนไม่เห็นด้วยกับแนวทางการเจรจาของพล.อ.ชวลิต เพราะหากสำเร็จย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์ของพล.อ.ชวลิตที่มีอิทธิพลทางการเมืองในทันที

อย่างไรก็ตาม พันธมิตรเองก็แสดงความห่วงใยว่าพล.อ.ชวลิต ได้รับการกลั่นแกล้ง ซึ่งเป็นสัญญาณที่จะปกป้องหรือแสดงการสนับสนุนแนวทางการเจรจาในห้วงที่ผ่านมา โดยผลสะท้อนได้กลับไปยังการตั้งข้อสงสัยอีกครั้งว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังน่าจะมาจากคนในพรรคพลังประชาชนเอง สังเกตจากผู้ที่ใกล้ชิดพล.อ.ชวลิตยงใจยุทธ ออกมาเปิดเผยว่านายกรัฐมนตรีอาจจะมาคุมงานการแก้ไขปัญหาในภาคใต้

สมมุติฐานที่สอง การสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเอง การเกิดขึ้นของพันธมิตรฯเหตุผลระดับต้นๆ กลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องน่าจะต้องการทำลายระบอบของทักษิณซึ่งเป็นการเมืองระบบเก่าให้หมดสิ้นลงไป เพราะได้ส่งผลกระทบทุกภาคส่วนของสังคม การเมือง เศรษฐกิจ โดยได้ส่งผลกระทบต่อสถานะของกลุ่มผู้นำอื่นๆที่เคยมีบทบาทที่ผ่านมา โดยวัตถุประสงค์ข้างต้นหากพิจารณาแล้วยังไม่ประสบผลสำเร็จคงต้องดำเนินการในการต่อสู้ต่อไป อย่าลืมว่าการต่อสู้ทางการเมืองในครั้งนี้ ต้องอาศัยการสร้างสถานการณ์เพื่อสร้างความชอบธรรมเพื่อทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นจึงไม่แปลกใจมากนักหากสมมติฐานนี้จะมีผู้สงสัยว่าอาจบุคคลบางคนที่มีอิทธิพล ต้องการเดินเกมส์ทำลายล้างระบบทักษิณให้หมดลงให้ได้ โดยการสร้างสถานการณ์อีกครั้ง เพราะอย่างที่กล่าวข้างต้นว่าสงครามยังไม่จบ จึงต้องการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงอีกครั้ง

นอกจากนี้ ภาพของกลุ่มพันธมิตรฯที่ผ่านมาได้ตกเป็นฝ่ายตั้งรับจากบุคลิกที่อ่อนน้อมถอมตนของนายสมชาย และข้อเสนอการเมืองใหม่ไม่ได้รับการตอบรับมากนักจากสังคมโดยส่วนรวม โดยพันธมิตรมีความตั้งใจให้เกิดการเมืองใหม่โดยมีสาระสำคัญลดอำนาจของฝ่ายการเมืองลงยังไม่ประสบผลสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ ที่สำคัญเกมส์การแก้รัฐธรรมนูญโดยการตั้ง ส.ส.ร3 ได้รับการตอบรับที่ดีจากประชาชน เพราะเห็นว่าเป็นแนวทางในการลดความขัดแย้งได้ รวมทั้งส่งผลให้รัฐบาลเป็นควบคุมแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ได้ ด้วยเหตุนี้ หากกลุ่มพันธมิตรไม่สามารถควบคุมแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญไว้ได้แล้วย่อมต้องเสียเปรียบในการสร้างกติกาฉบับใหม่ ส่งผลให้การเมืองยังเป็นรูปแบบเก่าโดยยังทำให้นักการเมืองในระบบการเมืองเก่า

แม้ว่ายังไม่สามารถให้คำตอบอย่างชัดเจนว่าสาเหตุการจับกุมมีเบื้องหลังอย่างไร้ โดยอาจจะหาคำตอบจากสมมุติฐานข้างต้นดังที่กล่าวไปแล้ว ซึ่งขึ้นอยู่กับการรับรู้ข้อมูลของบุคคล แต่ทิศทางการเมืองในห้วงต่อไปยังน่าเป็นห่วงโดยจะมีการชิงความได้เปรียบทางการเมือง โดยยังมีแนวโน้มว่าจะมีความรุนแรงทางการเมืองมากขึ้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม หากมองในวิชาการแล้ว การจับกุมแกนนำพันธมิตรในครั้งนี้ จะเป็นตัวยกระดับการต่อสู้ของฝ่ายพันธมิตรเอง เพราะแสดงให้เห็นการเสียสละผลประโยชน์ส่วนตนเพื่อให้การเมืองใหม่เดินหน้าต่อไปได้ ประกอบจะทำให้แนวทางอารยะขัดขืน(Civil Disobedience) มีความชอบธรรมมากขึ้น เนื่องจากในประเทศตะวันตกผู้ที่ประกาศใช้ต้องยืดหยัดที่จะรับผิดชอบทางกฎหมายกับสิ่งได้ทำลงไป หากแกนนำพันธมิตรเข้าใจถึงแนวทางการต่อสู้ข้างต้นและไม่ผลประโยชน์แอบแฝงแล้วก็จะทำให้การพัฒนาทางการเมืองไทยยกระดับไปอีก

ที่สำคัญจะทำให้หลักการเรื่องนิติรัฐ(Rule of Law )กลับมาอีกครั้งหนึ่งหลังจากถูกทำลายไปในช่วงอดีตผู้นำท่าหนึ่งได้เข้ามาบริหารประเทศ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่พันธมิตรจะเป็นผู้เริ่มต้นโดยการแสดงให้ภาคสังคมเป็นตัวอย่างที่ดีว่าเมื่อกระทำผิดกฎหมายแล้วต้องรับผิดโดยให้กระบวนการทางกฎหมายเป็นผู้ชี้ขาด รวมทั้งเป็นการพิสูจน์ว่าเหตุการณ์จับกุมแกนนำไม่ใช้การสร้างสถานการณ์เพื่อรุกทางการเมืองครั้งใหม่ตามที่มีปรากฏข่าวสารว่ายังมีความพยายามในการสร้างสถานการณ์ต่อสู้ในครั้งสุดท้าย โดยยังมีเป้าหมายให้ทหารเข้ามาเป็นตัวช่วยเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ชนะอย่างเบ็ดเสร็จ

ไม่มีความคิดเห็น: